Story

Like a Dream

Short Story

“ตื่นได้แล้ว” เจ้าของน้ำเสียงหวานนุ่มคุ้นหูไม่พูดเปล่า ยังเปิดม่านกว้าง แสงสาดเข้ามาในห้องจนสว่างจ้าไปหมด
“อือ” รู้ว่าได้เวลาตื่น ผมยังไม่อยากตื่น ไม่รู้ว่าวันนี้จะต่อรองได้นานแค่ไหน
“ไม่ต้องอือ ลุกเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงหวานเริ่มฉายแววขุ่นเคืองอย่างคนที่โดนขัดใจ
“แป๊บนึง” ผมซุกหน้าอยู่กับหมอนใบโปรด กอดผ้าห่มไว้แน่นแม้รู้ว่าอีกไม่นานผ้าบางผืนนี้จะต้องหลุดติดมือคนที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างเตียง
“…” เงียบ ทำไมเงียบล่ะ ผิดปกติ ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาทีละข้าง ผงกหัวขึ้นมามองไปรอบห้อง หายไปแล้ว ไปไหนแล้ว
“ป่าน” เสียงสั่นพร่าหลุดจากปากโดยไม่ตั้งใจ ผมลุกขึ้นนั่ง ไล่ความงุนงงออกไป ผ้าม่านหนาหนักอยู่ตำแหน่งเดิม ยังทำหน้าที่ปิดกั้นแสงจากภายนอกได้เป็นอย่างดี ผมควานหาผ้าบางผืนเก่ากำไว้แน่น ทั้งห้องยังมืดมิด



“คิดถึงป่าน ป่านคิดถึงพิทไหม” ผมกลั้นใจถามออกไปแม้รู้ว่าคำตอบที่ปลายสายจะเป็นเช่นไร
“วันนี้งานพิทเป็นไงมั่ง เล่าให้ฟังหน่อยสิ” ไม่เคยตอบตรงคำถาม
“รักป่านนะ ป่านรักพิทไหม” ผมยืนยันทุกครั้งที่เราได้คุยกัน
“กินข้าวหรือยัง” ออกนอกเรื่องทุกครั้ง
“เมื่อไหร่จะได้เจอกัน” เป็นผมที่เฝ้ารอ
“ก็ว่างๆ ไงคะ” บ่ายเบี่ยงเป็นนิสัย
“ป่านไม่อยากเจอพิทเหรอ” ผมกลัวคำตอบที่จะได้รับ
“แล้วแต่พิทสิ” บอกตามใจแต่ไม่เคยตามใจ
“พิทอยากกอดป่าน ป่านให้พิทกอดได้ไหม” ผมไม่แน่ใจว่าเธออยากอยู่ใกล้ๆ ผมไหม
“กอดเฉยๆ นะ” เป็นผู้หญิงที่มีเงื่อนไขตลอดเวลา
“รับรองว่าแค่กอด” ผมไม่เคยผิดคำพูด
“พิท” คำนี้เธอออกเสียงได้เพราะกว่าทุกคำ
“ฮะ ” ผมไม่เคยรู้ว่าเธอจะพูดอะไร
“พรุ่งนี้ไปทะเลกันนะ” ผมยิ้ม



“เอายางรัดผมคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ออกคำสั่ง
“บอกให้ปล่อยผมมาไงล่ะ แล้วทำไมดื้อ”
“ทำไมชอบสั่ง”
“แล้วทำไมชอบดื้อ”
“โธ่เว้ย ไม่ต้องไปไหนกันแล้ว” หน้าบึ้งปากเม้มสนิท บ่งบอกความไม่สบอารมณ์คนตรงหน้า
“ดี อยู่ด้วยกันแบบนี้แหละ” พูดพลางสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปใกล้ในระยะลมหายใจเป่ารดกัน
“รำคาญ เข้าใจไหมว่ารำคาญเป็นยังไง” น้ำเสียงยังฉุนเฉียวไม่หาย
“แค่ปล่อยผมแป๊บเดียวเอง” วงแขนโอบรอบร่างคนตัวเล็กกว่า
“ถ้าอยากได้นางแบบเป็นผู้หญิงปล่อยผมยาว ก็ไปหาคนอื่น” เมื่อไม่ได้ดังใจ ก็ต้องชวนทะเลาะทุกครั้ง
“พิทอยากได้ป่านคนเดียว” ผมโอบแขนรอบตัวหญิงสาวตรงหน้าแน่นเหมือนกลัวเธอจะหายไป




“กินข้าวหรือยัง” ประโยคห้วนสั้นแต่ผมรู้ว่าเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ยังฮะ รอกินพร้อมป่าน”
“วันนี้ไม่กินนะ ปวดหัว อยากนอน”
“พิทนอนด้วย”
“ไปกินข้าว ทำงานให้เสร็จ”
“ตัวร้อนไหม มา เดี๋ยวพิทเช็ดตัวให้”
“จะอาบน้ำ”
“พิทอาบด้วย”
“อย่างอแงได้ไหม” ไม่รู้ใครกันแน่ที่งอแง
“พิทเป็นห่วง”
“พิทนั่นแหละ ไปกินข้าว อาบน้ำ ทำงานให้เสร็จ แล้วจะนอนก็นอน”
“แต่…”
“นะคะคนดี” ลงท้ายแบบนี้ผมจึงไม่เคยขัดใจเธอได้เลยสักครั้งเดียว



“ขอบคุณค่ะ” ปลายนิ้วสัมผัสมือใหญ่หนาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ชอบปลูกต้นไม้หรอครับ” ผมยังถือหนังสือไว้ในมือไม่ยอมปล่อย มองคนตรงหน้าเต็มตา
“ค่ะ” เสียงหวานแผ่วหายไปในลำคอ เงยหน้ามองคนตัวสูงใจดีที่หยิบหนังสือบนชั้นสูงแต่ยังไม่ยอมยื่นให้สักที
“ชอบเหมือนกันครับ” ผมไม่คิดว่าตัวเองจะชอบปลูกต้นไม้เหมือนอย่างที่เธอทำหน้าเข้าใจไปในทางนั้น
“ค่ะ” คงไม่มีคำใดที่เหมาะสำหรับการสนทนากับคนแปลกหน้ามากไปกว่าคำสั้นๆ ง่ายๆ คำนี้
“ผมซื้อให้แล้วกันครับ” ในโอกาสที่เราได้พบกัน หรือเป็นเพียงผมเองที่พบกับเธอ
“อะไรนะคะ” ตาเรียวเล็กเบิ่งกว้าง น้ำเสียงแหลมสูง พร้อมออกแรงดึงหนังสือไปถือไว้แน่น
“นะครับ”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่เป็นไร” ดูเหมือนว่าสติหญิงสาวจะลอยกลับเข้ามาอยู่กับตัวแล้ว แววตาตื่นหายไป น้ำเสียงจริงจังกับคำตอบที่ออกจากปาก
“คือผมแค่อยากรู้จัก…” คำพูดถูกกลืนหายไปในลำคอ พร้อมหนังสือกลับไปอยู่ในมือชายหนุ่มแปลกหน้าซึ่งเรียกเธอว่า “ป่าน”



“ตื่นได้แล้วค่ะ” เสียงหวานกระซิบอยู่ริมหู พลางล้มตัวลงนอนข้างๆ กางแขนโอบรอบตัวผมไว้แน่นด้วยแรงอันน้อยนิด เหมือนจะแกล้งรัดให้หายใจไม่ออก
“อือ” ส่งเสียงให้เธอรู้ว่าผมตื่นแล้วเพียงแต่ยังอยากใช้เวลาอยู่บนเตียงอีกสักพัก พลางเบียดเข้าหาไออุ่นจากร่างบาง
“อือนี่แปลว่าจะนอนต่อใช่ไหม” เสียงแง่งอนแผ่วเบา ผมรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจปลุกผมอย่างจริงจังนักหรอก
“แป๊บนึง” ผมสัมผัสได้ถึงริมฝีปากชื้นที่แตะแผ่วเบาบนปลายคาง ควานหามือเธอมากุมไว้
“…” เธอเงียบเสียง กระทั่งผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองดังสม่ำเสมอ ก่อนจะค่อยๆ หลับลึก จมดิ่งสู่ความฝัน ฝันที่เกือบจะเหมือนกันในทุกค่ำคืน
“ป่าน” ผมหลุดชื่อนี้ออกจากปากอีกครั้ง สลัดความมึนงง เปิดเปลือกตาหนักอึ้ง พลางควานหาผ้าห่มผืนบางมากอดไว้แนบอก ก่อนปรับสายตาที่พร่ามัวจนภาพตรงหน้ากระจ่างชัด ภาพเก่าอันคุ้นเคย หน้าต่างบานเดิม ที่ตอนนี้มีผ้าม่านสีขาวขุ่นมาแทนผืนหนาหนักผืนเก่า และข้างกายว่างเปล่าเหมือนทุกวัน



นิ้วเรียวยาวคีบบุหรี่ที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเคาะเป็นจังหวะช้าๆ เถ้าหลุดหล่นบนพื้นก่อนเจ้าของจะเลื่อนมวนยาแตะริมฝีปากบาง สูดอากาศเข้าปอด ทิ้งระยะชั่วหนึ่งลมหายใจ ก่อนเผยอริมฝีปากปล่อยควันสีเทาให้ลอยอ้อยอิ่งดั่งหญิงสาวคลอเคลียชายคนรักไม่ยอมห่าง

“มึงจะเป็นจะตายอะไรนักหนากับแค่ผู้หญิงคนเดียว”
“ป่านเป็นของพิทคนเดียวนะคะ”
“อย่างมึงเดี๋ยวก็หาใหม่ได้ มึงไม่หา กูหาให้ก็ได้” ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึก
“ป่านมีแค่พิทจริงๆ”
“ป่านมันไม่กลับมาหามึงแล้ว ผ่านไปเป็นเดือน มึงจะรอทำไมวะ” อาจจะกลับมาก็ได้
“ป่านอยากอยู่กับพิทมากที่สุด”
“กูบอกแล้วว่ามันไม่จริงใจกับมึงหรอก” อยู่ด้วยกันมาสามเดือนทุกวันทุกคืน
“ป่านไม่เคยรู้สึกกับใครเหมือนที่รู้สึกกับพิท”
“มันเคยรักมึงด้วยเหรอวะ กูไม่อยากเชื่อ” ถ้าไม่รักผมแล้วเธอรักใคร
“ป่านรักพิทนะคะ”


ผมยาวปรกหน้าระคิ้วยุ่งโดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่สนใจจะปัดให้พ้น หน้าผากยับย่นเหมือนคนที่ใช้ความคิดอย่างหนัก สายตาทอดมองพื้นนิ่ง เนิ่น นาน ก่อนแหงนหน้าลืมตามองเพดาน พักศีรษะไว้กับพนักพิงโซฟาตัวเก่าสีซีดจาง บุหรี่ถูกขยี้ยับย่นอยู่ในจานรองแก้วใบจิ๋วสกปรก สภาพไม่ต่างจากชายหนุ่มที่โดนสาวคนรักทิ้งอย่างไม่ไยดี

Leave a Reply