ลมพัดผ่านดาว
Book Review
"เส้นทางของสายลม ชื่นชมในเสรี
พัดไปในวันนี้ และวันหน้า
ผ่านทะเลอันกว้างไกล ผ่านพงไพรสุดสายตา
ผ่านไปใต้ท้องฟ้า อย่างชื่นบาน
หากจะกักสายลม เพื่อชมให้ชื่นใจ
สายลมจะอยู่เคียงใกล้ เวลานาน
ก็จับด้วยความรัก กับดักคือความหวาน
ได้สายลมเนิ่นนาน ชั่วกาลนิรันดร์"
ลมพัดผ่านดาว / ว.วินิจฉัยกุล
สำนักพิมพ์ทรีบีส์
“แก” เพื่อนรักในบางวันส่งเสียงมาตามสาย (บางวันก็ไม่รักเพราะมันทำตัวไม่ดี) ซึ่งฉันรู้ว่า มันต้องมีเรื่องหัวใจมาเล่าแน่ๆ แล้วก็จริงอย่างที่คิด
“เป็นไง” ฉันทักทายสั้นๆ ตามแบบฉบับที่มันคุ้นเคย คำตอบพรั่งพรูโดยไม่ต้องถามมาก มันเล่าชีวิตรักครั้งล่าสุดให้ฟัง ทั้งเรื่องที่มันตัดใจจากสาวใหญ่ในที่ทำงานได้ ไปแอบชอบเขาทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว สัมพันธ์ไม่ได้ลึกซึ้งแต่ก็เป็นสาเหตุให้ต้องเลิกกับแฟนในที่สุด
“หนูรับไม่ได้” นั่นเป็นเหตุผลที่แฟนมันบอกไว้สำหรับความรู้สึกที่เพื่อนฉันปันไปให้อีกคนในระหว่างที่คบกัน เป็นใครจะรับได้มั่ง ต่อให้ไม่เคยเกินเลย แค่เคยเทคแคร์ดูแลเขาบ้างในบางเวลา ทำไปเพราะหัวใจมันสั่ง คิดในทางกลับกันบ้างก็ได้นะ ว่าถ้าอีกฝ่ายทำแบบนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร ฉันไม่คิดว่าจะมีใครใจกว้างมากพอหรอก จริงๆ เรื่องนี้ดำเนินมาสามปีได้แล้ว (มั้ง) ซึ่งฉันก็ร่วมรับรู้มาโดยตลอด ถ้าเป็นบทลงโทษตามกฎหมายอาญาต่อความผิดในครั้งนี้ ฉันนับเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยแหงๆ
เพื่อนฉันคนนี้ มีผู้หญิงเวียนว่ายตายจากวงจรชีวิตนับไม่ถ้วน (ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกของผู้ชาย) ที่ยังหมุนรอบๆ กันก็มีอยู่ไม่น้อย ที่เลิกรากันไปแต่ทำท่าว่าอยากจะกลับมาร่วมชะตากรรมกับมันก็หลายคน ยังไม่นับรายทางแบบผ่านมาผ่านไประหว่างทำงานและเที่ยว ถามว่ามันมีดีที่ตรงไหน คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรองเห็นท่าจะจริง
“ก่อนไปน่าน มีเมสเสจลึกลับส่งมาบอกรักชั้นว่ะ” มันเริ่มต้นเล่าเรื่อง ยิ่งเล่าก็ยิ่งนำความประหลาดใจมาให้ฉัน
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอผู้หญิงมาเลยว่ะ”
“เออว่ะ ประหลาดจริงๆ แถมเกือบจะเหมือนนิยายที่ฉันเพิ่งอ่านจบเมื่อคืนเลย”
“ยิ่งกว่านิยายอีกแก ว่าแต่เรื่องอะไรวะ”
“ลมพัดผ่านดาว”
ลมพัดผ่านดาวเป็นนิยายของว.วินิจฉัยกุลซึ่งแต่งขึ้นเมื่อปี 2551 เป็นเรื่องราวความรักร่วมสมัย ระหว่างดารชา หญิงสาววัยสามสิบห้าและวายุ ชายหนุ่มอายุยี่สิบห้า
จริงๆ แล้วถ้าเป็นความรักที่ชายแก่กว่าหญิงสาวแปดปี คงไม่ใช่เรื่องที่จะได้รับความสนใจมากขนาดนี้ ช่องว่างระหว่างวัยของคู่ที่หญิงแก่กว่าชายถูกมองว่ากว้างกว่าคู่ที่ชายแก่กว่าหญิง จริงไหม ทั้งที่จริงแล้ว นิสัยของผู้หญิงที่ยิ่งแก่ (ให้ตายเถอะไม่อยากใช้คำนี้เลย แต่ไม่รู้จะเลี่ยงไปใช้คำว่าอะไรดี) ก็ยิ่งเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ดื้อดึง เอาแต่ใจ และไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของความรัก ผู้หญิงไม่น้อยที่ขาดสติโดยสิ้นเชิง ในวงเล็บอีกนิดว่า สำหรับฉันแล้ว ความรักไม่มีเพศ ไม่มีเหตุผล ก่อนวงเล็บปิดต้องบอกว่า แต่อย่างไรต้องมีสติและสตางค์
ความรักของทั้งสองคนก็เป็นรูปแบบโดยทั่วๆ ไป รักกัน ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน คืนดีกัน เรื่องเริ่มต้นเมื่อชายหญิงสองคนนี้มีจิตปฏิพัทธ์กันอย่างรวดเร็ว และถูกมองว่าไม่เหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หรือแม้กระทั่งเพราะความไม่มีเหตุผล ทำให้คนรอบข้างฝ่ายหญิงมองความสัมพันธ์ของคู่นี้ว่า “ไปไม่รอด” โดยอาศัยพื้นฐานครอบครัว ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ การศึกษา ครอบครัว ฐานะ อดีต มาตัดสิน จึงเกิดเป็นความไม่เข้าใจ ไม่ชอบใจ และถึงขั้น “รับไม่ได้” กับ “ผู้ชายอย่างวายุ” กระทั่งมีคำพูดที่ว่า “ผู้หญิงอย่างดารชาควรได้ผู้ชายที่ดีกว่าวายุ”
ในขณะที่คนรอบข้างของวายุ มองความรักครั้งนี้ของวายุว่าก็คงเหมือนรักครั้งก่อนๆ “ฉาบฉวย” และขึ้นอยู่กับ “อารมณ์” ของวายุเป็นสำคัญ ยิ่งประกอบกับคำกล่าวที่ว่า ผู้ชาย ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุสี่สิบ หมายถึง วุฒิภาวะที่มีความมั่นคงทางอารมณ์และทางฐานะ ผู้ชายอย่างวายุก็อาจเรียกได้ว่าห่างไกลจากจุดเริ่มต้นและเอาแน่เอานอนไม่ได้
ลำพังชีวิตของดารชา สาวสวยรวยทรัพย์ผู้ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบ กับวายุ อาร์ทติสท์หนุ่มหน้าตาดีที่ทำอะไรตามใจ และไม่เคยคิดจะปักหลัก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้วกับการที่คนสองคนพยายามจะทำความเข้าใจในความเป็นตัวตนของอีกฝ่าย แต่ในชีวิตจริง (ทั้งในนิยายและชีวิตของเราๆ ทั้งหลาย) ยังมีมากกว่านั้น
นอกจากองค์ประกอบทางความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาอย่างมหาศาลนับจากรู้ว่า เรารักใคร ใครรักเรา ยังไม่ต้องพูดถึงผู้คนอีกเป็นพรวนที่สามารถนำความยุ่งยากและลำบากใจมาสู่ชีวิตรักของเรา สายตา ฝีปาก ใบหู อีกนับสิบคู่ ที่จะคอยจับตา เฝ้าดู ถามไถ่ ทั้งอย่างเป็นห่วง ทั้งอย่างสมเพช และอื่นๆ ไม่ว่าจะะเป็นเจ้านาย (สองสาวใหญ่ที่ดูจะเข้าอกเข้าใจชีวิต) คนข้างบ้าน1 (หนุ่มใหญ่ดีกรีด็อกเตอร์ที่มาแอบรัก) คนข้างบ้าน 2 (สาวใหญ่ที่คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น) อดีตคนรัก (ชายในฝัน ซึ่งเป็นรักแรกและเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ) เพื่อนสนิท (ที่ไม่เคยคิดจะเข้าใจ) พี่สาว (ผู้ซึ่งกำลังจะหย่าขาดจากสามี) เพื่อนก๊วนเหล้า (ที่อารมณ์ศิลปินไม่แพ้กัน) ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้ความรักของคนสองคนกลายเป็นเรื่องยากและใหญ่ขึ้น
ฉันอ่านลมพัดผ่านดาวแล้วเกิดอาการที่แตกต่างจากเล่มอื่นๆ เพราะแทนที่อ่านไปอินไปแบบยิ้มอย่างเป็นสุข หวานในอารมณ์ เศร้าโศก และเสียน้ำตา แต่กลับกลายเป็นว่า ฉันอินเหมือนเป็นหนึ่งในคนรอบข้าง ที่กำลังจับตามองความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ จนเกิดความสงสัย ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อใจ มองไม่เห็นความโรแมนติก ทั้งที่เรื่องนี้อุตส่าห์มี “ปาย” มาเป็นฉากหลัง แต่ก็ต้องขอสารภาพว่า บางฉากบางตอนบีบคั้นอารมณ์จนทำให้น้ำตาไหลเป็นทางอาบแก้มไม่น้อย และเมื่อถึงตอนจบที่มีสองแบบก็ถึงขั้นสับสนหากต้องเลือกว่าความรัก (ในนิยาย) ในครั้งนี้ควรจะจบอย่างไรดี ระหว่าง
“อยู่ด้วยกัน แล้วก็นึกถึงแต่วันที่จะร้างรา สู้จากกันไปแล้วคิดถึงวันดีๆ ที่เราเคยมีความสุขต่อกัน จะดีกว่า”
“อยู่กับเธอถึงจะทุกข์ทรมานใจแค่ไหน ก็ยังดีกว่าอยู่เป็นสุขโดยปราศจากเธอ”
ลองคิดว่าถ้าฉันเจอกับผู้ชายอย่างวายุ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ฉันจะตกหลุมรัก เรื่องนี้ฉันคุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่า ไม่มีทางรักคนแบบนี้เด็ดขาด เราต้องหาคนที่เหมาะสมกับเรา แล้วเราก็ถกเถียงกันว่ามีเหตุผลอะไรที่สมควรตัดสินใจแต่งงานกับพี่ทรงวัชร์ ส่วนเมื่อต้องมองกลับมายังความรักระหว่างที่มีต่อผู้ชายเช่นวายุ ฉันบอกไปว่า ฉันคงรักตัวเองมากกว่า เพราะต่อให้รักอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ฉันเชือ่ว่า ถ้ารักแล้วเหนื่อย รักแล้วมีชีวิตอยู่บนความหวาดหวั่น รักแล้วบั่นทอน บอกว่ารักกันๆ แต่ทั้งฉันและเขาก็ไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่คิดจะปรับหากัน ฉันอาจจะดื้อดึงอยู่สักพัก อาจจะลอง อาจจะพยายาม แต่ว่าในที่สุดเราก็คงเลิกกันอยู่ดี เพราะฉันเชื่อว่า แม้จะเจ็บหนักและนานแค่ไหน แต่คงไม่ใช่ตลอดไป
“ เพิ่งคุยกันได้สองวัน พี่เขาเป็นคุณครู ซึ่งเป็นอาชีพที่ฉันไม่เคยคิดจะไปข้องเกี่ยวเลย อายุ 37 ปี แต่หน้าเด็กมาก ตัวเล็กๆ ขาวๆ เคยเจอกันเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เจอกันปีละครั้งสองครั้งเพราะต้องมีทำงานร่วมกัน สนใจธรรมะ เป็นผู้หญิงคนแรกที่ชวนฉันไปนั่งสมาธิ เขาสารภาพความรู้สึก เทหมดหน้าตัก ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย ฯลฯ” เพื่อนฉันเล่าเป็นฉากๆ ดูท่าแล้วเรื่องนี้จะยังไม่มีตอนจบเหมือนนิยาย
“แล้วทำไมเขาถึงเข้ามาตอนนี้ ทำไมมาถูกจังหวะพอดีเลยวะ” ฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันว่านะแกกับเขาต้องเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาแน่นอน ไปทำบุญบ้างนะแก ถ้าเคยเป็นกรรมไม่ดีต่อกันจะได้เบาบางลง ถ้าดีอยู่แล้วก็จะได้ดียิ่งขึ้น” เป็นบทสรุปที่ฉันช่วยเพื่อนได้เท่านี้จริงๆ เพราะไม่รู้จะด่าจะบอกให้มันทำยังไง บอกไปก็ไม่เคยทำตาม ความรักใคร ความรักมัน เราต่างต้องเลือกตอนจบเอง
อ่านนิยายลมพัดผ่านดาวจบไปแต่อารมณ์ไม่จบตาม เลยได้กลอนที่อยากฝากไปบอกเพื่อนรักว่า อย่าเป็นสายลมที่พัดผ่านใครแค่ชั่วครู่ชั่วยามเลย เขาอาจชื่นใจในตอนแรกแต่หลังจากนั้น สายลมอาจกลายเป็นมีดที่กรีดใจเขาให้บาดลึกจนเกินเยียวยาว
ลม
เจ้าเอยนำรักมาจากไหน
หอบอุ่นไอความสุขทุกเช้าค่ำ
วาบหวานเกินบรรยายใช้ถ้อยคำ
จดจำยากจะลืมไม่เลือนราง
พัด
ความเปล่าว่างให้จางหาย
โลมไล้ใจกายคลายอ้างว้าง
เล่นล้อคลอเคลียอยู่เคียงข้าง
แผ่วบางแต่แนบชิดติดตรึงตรา
ผ่าน
เพื่อพักเพียงพบใช่หยุดไหว
แล้วล่วงไปไร้ร่องรอยให้คอยหา
หยาดหยดมิยอมหมดไหลเรื่อยมา
เหว่ว้าอยู่ลำพังอย่างเดียวดาย
ดาว
ดวงเดิมเคว้งคว้างกลางท้องฟ้า
ด้วยสิ้นสุดช่วงเวลาแห่งความหมาย
จะมีไหมลมหวนกลับมาทักทาย
หรือสุดท้ายพานเพียงลมพัดผ่านดาว