สายฝอ
Diary

ชีวิตจริง สาย ฝอ เยอรมัน 2021-2023

สายฝอ ประเทศไหนดี คำตอบไม่ได้อยู่ที่คนอื่น คำตอบอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้ามีประเทศในใจก็มุ่งหาความรู้เกี่ยวกับประเทศนั้นให้มากที่สุด ภาษา วัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ แต่ถ้าไม่มีในใจ แค่คิดว่า อยากได้คนชาติไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ชาติไทยและไม่ใช่ชาติหน้า ก็ถามตัวเองดูว่า รู้จักประเทศไหนดีที่สุด ถ้าไม่รู้ อะไรๆ ก็ไม่รู้ ก็ไปทำตัวเองให้รู้ก่อน การมีความรู้ การให้การศึกษาตัวเอง ก็เท่ากับทำให้ตัวเองมีทางเลือกมากขึ้น สำหรับเรา ไม่เคยตั้งเป้า ได้เขามาแล้วก็ต้องดูแลกันต่อไป ผู้ชายเยอรมัน

2021 สายฝอ ชีวิตเหมือนฝัน และชีวิตที่ไม่คาดฝัน

ชีวิตสายฝอของเราจะว่าไปก็เป็นอะไรที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน ไม่ได้ตั้งเป้าว่าชีวิตต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ จนกระทั่งมาเจอคนนี้ ก็รู้สึกว่าชีวิตควรจะมีการวางแผนนะ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้รู้ว่า ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนเสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การเตรียมตัว แต่คือเมื่อถึงเวลาผิดหวัง ให้เราตระหนักรู้ให้เร็วที่สุดว่า ชีวิตมีสมหวัง มีผิดหวัง

  1. มกราคม หลังจากรู้ว่า จะได้ลูกชาย แฟนก็เริ่มวางแผน ตั้งเป้า วาดฝัน เราก็เริ่มอยากหาซื้อของ ก็ได้แต่ไปเมียงๆ มองๆ แต่ยังไม่กล้าวซื้อ หลังปีใหม่ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ไปตรวจครรภ์ทุกๆ สองสัปดาห์ ตรวจว่าลูกมีโอกาสจะเป็นดาวน์ซินโดรมไหม พอคำตอบได้ว่า ความเสี่ยงต่ำ ก็โล่งอกกันไป แฟนก็ใส่ใจเราดีมากๆ ทาน้ำมันที่ท้องให้ก่อนนอนทุกคืน เราก็อ่านนิทาน ฟังดนตรี มีความสุข เตรียมเขียนนิทานของตัวเอง

2. กุมภาพันธ์ วันครบรอบปีที่สาม ปีนี้ ได้ของขวัญที่ดีที่สุดแล้วก็ไม่คิดอยากได้อะไร แต่ก็พากันไปร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งหาของอร่อยๆ กินกันมากกว่า มีความสุข เราทำสมุดบันทึกครบรอบ ก็รู้สึกว่า เรากำลังจะมีสามคนไม่ใช่แค่สองแล้วนะ ก็เริ่มติดต่อว่า ถ้าจะกลับไปคลอดที่ไทยต้องไปฝากครรภ์ที่ไหน สรุปว่า โรงพยาบาลรัฐไม่รับหลังจากห้าเดือน ก็สรุปว่า ต้องไปฝากท้องที่โรงพยาบาลเอกชน เริ่มติดต่อทำหนังสือนิทานเป็นของขวัญให้ลูก

3. มีนาคม ต้นเดือนมีข่าวว่า จะมีไฟล์ทของการบินไทยบินกลับไทยพอดี ซึ่งตรงวันเกิดเราพอดี ก็สรุปว่าไฟล์ทนี้แหละ แล้วก็ครบ 1 ปีพอดีที่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ใจหายนิดหน่อยที่ต้องห่างกัน แต่คิดว่าการคลอดที่ไทยน่าจะดีที่สุด แต่ก็หวังว่าจะได้เจอกันในอีกไม่กี่เดือน นางก็ไปเตรียมทำวีซ่าเข้าไทย เพื่อตามเรากลับไทย วันเดินทางเราก็กลับมากักตัว 14 วันโรงแรมที่พัทยา ก็อดทนรอกันไป ที่จะได้เจอกันอีกครั้ง

4. เมษายน เรากลับไทยก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ไปทำงาน ไปช่วยงานเอเจนซี่แห่งหนึ่ง ทำพอดคาสต์ ออกไปอัดเทป ก็มีเดินทางตลอด กินเก่งขึ้นเยอะ ไปหาหมอ ตรวจร่างกาย ทุกอย่างก็ปกติ น้ำหนักลูก พัฒนาการก็อยู่ในเกณฑ์ดีตลอด อัลตร้าซาวดน์สามสี่มิติก็ได้เห็นหน้าค่าตากันแล้ว เฝ้ารอที่จะได้เจอกัน พร้อมหน้ากัน

5. พฤษภาคม เกือบปลายเดือนแฟนก็บินตามมา นางก็จะอยู่ได้สามเดือนก็กะว่าทันคลอดพอดี ไปทำเอกสารรับรองบุตรที่สถานทูตเยอรมัน เราเตรียมเอกสารทุกอย่างติดต่อนัดหมายต่างๆ ด้วยตัวเอง ก็ได้มาเรียบร้อย ไม่ห่วงลูกแล้ว นางมาอยู่ที่บ้าน ก็จัดเตรียมบ้าน เตรียมห้องอะไรไว้ทุกอย่างก็ได้ใช้เวลาด้วยกัน นางดูแลเราดีมาก เลือกชื่อลูก ซื้อของอะไรต่างๆ

6. มิถุนายน ปลายเดือน ใกล้คลอดแล้ว เราก็ตื่นเต้นกันมาก ไปถ่ายรูปที่สตูดิโอเก็บไว้ด้วย แต่ความสุขก็เหมือนความฝันนะ พอปลายเดือนที่ใกล้ถึงกำหนดคลอด ปรากฏว่าลูกหัวใจหยุดเต้น เราผ่าคลอดด่วน จัดงานศพให้ลูกแผนการทุกอย่างพับเก็บ มีเวลาเหลืออีกประมาณสามเดือนที่แฟนจะต้องเดือนทางกลับไปทำงานต่อที่มาเลเซีย ตัดสินใจออกจากกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตที่อื่น แฟนเราไม่สามารถอยู่ในห้อง ในบ้านที่เราเตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกได้

7. กรกฏาคม หลังเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราไปใช้ชีวิตด้วยกันสองคนที่อยุธยาสามสี่วัน แล้วหลังจากนั้น เดินทางไปพักที่โรงแรมดุสิตพัทยาเป็นเวลาหนึ่งเดือน พยายามทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น หาหนังสืออ่าน ใช้เวลากับการไม่ทำอะไร ตื่นมาตอนเช้า กินข้าว ไปเดินริมทะเล นอนกลางวัน อ่านหนังสือ นั่งเฉยๆ มองฟ้า มองน้ำ ตกเย็นไปหาข้าวกิน เดินริมทะเล วนไปแค่นั้น

8. สิงหาคม พอครบกำหนด นางก็ต้องกลับไปทำงานเพราะวีซ่าหมดอายุ เป็นช่วงเวลาห่างกันที่ทรมานมากที่สุด ต่างคนก็ต้องทำหน้าที่ เราก็หาโปรเจคทำ ทำงาน ใครให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ได้อยู่ว่าง เป็นการเยียวยาจิตใจ แต่มันก็ยากพอสมควร นอนร้องไห้ทุกคืน ความคิดวนเวียน

9. กันยายน น้องสาวเราคลอดลูกชาย เราไปเฝ้าอยู่สามวัน ทุกคืนเราก็จะช่วยเลี้ยง กล่อมหลานไป บางครั้งก็ร้องไห้ไป คิดถึงลูก ในใจเคยมีช่วงที่อยากจะเลิกเพราะรู้สึกว่าเราเติมเต็มชีวิตครอบครัวไม่ได้แล้ว น้องสาวก็เป็นห่วงกลัวเราซึมเศร้าอยากให้เราไปหาหมอ แต่เรารู้ตัวว่าเราเป็นหรือไม่เป็นอะไร

10. ตุลาคม เราทำเป็นเจ้าภาพทำกฐิน ตั้งใจไว้นานแล้วว่า อายุครบสี่สิบ จะเป็นเจ้าภาพ ตอนแรกคิดว่า จะมีสามี ลูก มาอยู่ข้างๆ ในวันทำบุญ สุดท้ายก็ไม่มีทั้งสองคน ก็มีครอบครัว พ่อแม่ญาติพี่น้อง เงินทำกฐินก็รวบรวมได้ไปหลายแสน ก็ถือว่า เราได้ทำบุญสมความตั้งใจ ทะเลาะกันแรงๆ ช่วงๆ จะใกล้ปลายปี เพราะครบสามเดือน นางตั้งใจจะลาพักร้อนแต่ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปเยอรมันดีหรือจะมาไทย สุดท้ายนางก็เลือกมาใช้เวลาด้วยกันกับเราที่ไทย

11. /12. พฤศจิกายน-ธันวาคม แฟนบินมาลงภูเก็ต เราก็ไปเที่ยวกันตลอดหนึ่งเดือน เกาะยาวใหญ่ อ่าวนาง เกาะลันตา แล้วก็ขึ้นมาอยู่กทม. นางก็ทำงานที่บ้าน แล้วก็มีไปเที่ยวกับบ้านเรา ระหว่างนั้นเราก็ทำวีซ่าระยะยาวขอไปมาเลเซีย เพื่อจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เพราะนางก็ต้องทำงาน ส่วนเราก็ยังไม่ได้ทำงานเป็นจริงเป็นจัง เป็นช่วงเวลาที่ได้เที่ยว ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง ความสวยงามของเมืองไทยก็ทำให้คลายความเศร้าไปบ้าง โดยเฉพาะเวลากลางวัน แต่กลางคืน ความเศร้าก็ยังเข้ามาเกาะกุมใจอยู่ดี

2022 – สายฝอ Culture Shock อีกครั้งและอีกครั้ง

การจากไปของใครคนหนึ่ง ไม่ใช่จุดจบ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตเรา ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ เราได้ขึ้นไปอยู่จุดที่สูงที่สุดของชีวิตในระดับของความสุข แล้วก็จมดิ่งต่ำสุดสู่ช่วงเวลาที่โศกเศร้ามากที่สุดที่เคยประสบมา แต่มันไม่ใช่จุดสุดท้าย เพราะเรายังต้องไปต่อ เราไม่สามารถโยนชีวิต โยนทุกอย่างทิ้งไปได้ เราไม่อยู่กับอดีต เรายังมีอนาคตร่วมกัน สายฝอ ก็ไม่ต่างจากเส้นทางสายอื่นๆ ที่มีขึ้นภูเขา มีเดินป่า มีหลงทาง มีมหาสมุทรที่ต้องว่ายข้ามไป

  1. มกราคม ประมาณปลายเดือน พอเราได้วีซ่ามาเลเซีย 90 วัน ก็เดินทางกลับพร้อมแฟนเลย เป็นโครงการแซนด์บ๊อกซ์ ไปลงเกาะลังกาวีก่อนไม่ต้องกักตัว ก็เที่ยวด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกัน เยียวยาใจดูแลกัน เราอยู่มาเลย์ได้สามเดือน ได้เที่ยวมาเลย์ทั่วอีกครั้ง ใช้เวลาคุ้มค่ามาก ไปเที่ยวทั้งที่เก่าที่ใหม่ ทั้งปีนัง คาเมรอนไฮแลนด์ เกาะปังกอร์ เกาะทีโอมัน เป็นช่วงเวลาที่เรายอมให้แฟนดูแล การเงินทุกอย่าง แล้วเราก็เอาเงินเก็บออกมาเริ่มลงทุนในหุ้นเป็นครั้งแรก

2. กุมภาพันธ์ ครบรอบสี่ปีของการคบกัน แฟนเรายังไม่มีกะจิตกะใจจะเฉลิมฉลองอะไรทั้งนั้น แต่เราอยากเชียร์อัพให้นางรู้สึกดี เราเลยจัดการพานางไปดินเนอร์ในความมืด Dine in the Dark ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ในความมืด แม้ดวงตาเราจะไม่เห็นอะไร แต่เราก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ ด้วยสองมือ ประสาทสัมผัสอื่นๆ ก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์

3. มีนาคม วันเกิดเรา เราก็ไม่ได้ขออะไร และไม่อยากได้อะไร ก็เป็นทริปไปเที่ยวปีนังอีกครั้ง ก็มีความสุข พยายามคิดในแง่บวก เราอยู่กันสองคน ก็คงเน้นทำงานหาเงิน เที่ยวเป็นหลัก และเริ่มคิดว่าจะทำตามแผนเดิม คือการปักหลัก

4. เมษายน เราอยู่ได้สามเดือนก็ต้องกลับ กลับก่อนวันเกิดนางอีก ก็เสียดายแต่ก็ต้องกลับ นางก็เริ่มติดต่อขอทำเรื่องเพื่อกลับเยอรมัน เพื่อกลับไปเริ่มต้นใหม่ ใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้านางยังไม่ได้ย้ายกลับเร็วๆ นี้ก็ให้เราทำเรื่องกลับมามาเลย์อีกครั้ง สรุปว่าเราก็ทำเรื่องขอวีซ่ากลับมาอีกแต่คราวนี้ไม่ต้องกักตัวแล้ว

5. พฤษภาคม ปลายเดือนเราเดินทางกลับมามาเลย์อีกครั้ง ขอวีซ่าเก้าสิบวันเหมือนเดิม ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เราก็ศึกษาเรื่องหุ้น แล้วก็มีลงทุนทำเสื้อผ้ามัดย้อม อยากส่งออก ทำหลายสิ่งอย่าง เป็นช่วงที่ใช้เงินลงทุนมากกว่าหามาได้ เรียกว่า เงินเก็บที่มีก็ถูกนำมาใช้ในเวลานี้ เหมือนเราได้เรียนรู้ใหม่อีกคร้้ง

6. มิถุนายน แม่นางมาช่วงปลายเดือนเพราะตรงกับบวันเกิด ก็วางแผนต่างๆ นานา พากันไปฉลอง พอตรงวันเกิดของลูกพอดี ก็พากันไปวัดไทยในมาเลย์ หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร้องไห้น้อยลง แต่ก็ยังร้องไห้ ก็หวังว่าลูกจะไปอยู่ในภพภูมิที่ดี

7. กรกฏาคม ก่อนแม่นางกลับ เราให้แม่เรามาจอยทริปไปเที่ยวปีนังด้วยกัน สนุกสนานมาก ดีใจมากที่สองแม่ได้เจอกัน แล้วก็มีข่าวดีมาว่า นางได้งานที่สำนักงานใหญ่ตามที่นางต้องการ แล้วก็คือกลับประมาณสิงหาคม พอแม่กลับไป เพื่อนเราก็มาแจมทริปต่อเราก็เที่ยวกับเพื่อน แล้วพอเพื่อนกลับ เราค่อยกลับทีหลังเราก็กลับไทยมาเตรียมตัวยื่นขอวีซ่าเยี่ยมเยีอนที่เยอรมัน 90 วัน เป็นครั้งแรกที่เราต้องขอให้นางออกใบเชิญอย่างเป็นทางการเพื่อแสดงหลักฐานการเงินในการซัพพอร์ตเรา เพราะช่วงที่เราท้องและหลังคลอด เราก็แทบไม่ได้มีเงินเข้าบัญชีเท่าไหร่ ก็เข้าใจได้

8. สิงหาคม ยี่สิบกว่าๆ เราก็บินไปเยอรมัน นางก็บินจากมาเลย์มาต่อเครื่องที่ไทย ได้นั่งไปด้วยกัน โชคดีบริษัทนางซื้อตั๋วให้ก็เลยได้บินชั้นธุรกิจแต่นั่งชั้นธุรกิจไปก็ไม่ได้ช่วย เพราะนางกลัวเครื่องบินแต่ก็ยังดีได้นอนเหยียด ก็ได้กลับด้วยกันไปลงมิวนิค แม่นางก็มารับ เราก็ได้อยู่กับแม่ ได้กินอาหารดีๆ อร่อยๆ ไปเที่ยวสถานที่สวยๆ แล้วก็ย้ายไปอยู่โรงแรมที่ Mannheim ที่ทำงานนางเป็นเวลาหนึ่งเดือน

9. กันยายน เป็นช่วงเดือนที่แปลกใหม่มาก เพราะต้องไปเลือกหาอพาร์ทเมนต์ ไปดูว่าชอบไหม ถ้าชอบก็ต้องยื่นใบสมัคร เจ้าของก็จะตรวจสอบประวัติและการเงินการงานต่างๆ เพราะบ้านหรือห้องเช่า จะมีคนมายื่นใบสมัครขอเช่าหลายคน เหมือนการสอบแข่งขัน เราไปดูบ้านและห้องเช่ามาทั้งหมดเกินสิบที่ ก็มาถูกใจกับที่อยู่ป้จจุบัน เป็นอพาร์ทเมนต์ประมาณเจ็ดสิบตารางเมตร ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเมืองเก่าสวย น่ารัก มีสวน มีแม่น้ำ และใกล้สถานีรถไฟ มีรถเมล์ และห่างออกไปก็มีรถราง การเดินทางค่อนข้างสะดวก ห่างจากสนามบินประมาณห้าสิบนาที อยู่ใกล้เมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม และแฟนขับรถไปทำงานประมาณยี่สิบนาที เรียกได้ว่า ครบหนึ่งเดือนที่หมดสัญญากับโรงแรมพอดีก็ได้อพาร์ทเมนต์ใหม่พอดี

10. ตุลาคม พอได้อพาร์ทเมนต์มาก็ยิ่งตื่นตาตื่นตะลึงกว่าเดิม เพราะห้องนั้นว่างเปล่ามากทำให้ก็ต้องไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ เลือกซื้อของใช้ทุกอย่างเข้าบ้าน เริ่มต้นใหม่หมด เลือกไฟ เลือกถังขยะ เลือกครัว เลือกทุกอย่างด้วยกัน ก็ Culture shock พอสมควร นางเองก็เริ่มเข้มงวดกับเราในหลายๆ เรื่อง การเปิดประตู หน้าต่าง การเปิดปิดไฟ มีปรับตัวใหม่ เจอสภาพแวดล้อมใหม่ กฎเกณฑ์ใหม่ ทะเลาะกัน เถียงกันในเรื่องใหม่ๆ ทั้งที่คิดว่ารู้จักกันดี แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องทำความรู้จักกันใหม่อยู่ดี รักเราไม่เก่าเพราะมีเรื่องใหม่ให้เรียนรู้ ให้ทะเลาะกันตลอด

11. พฤศจิกายน อยู่ครบตามกำหนดเก้าสิบวัน เราก็กลับไทย แต่ก่อนกลับก็ได้ไปติดต่ออำเภอเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้ในการแต่งงาน ก็ตั้งใจแล้วว่าจะแต่งงานปีถัดไป ก็ได้รายละเอียดมา พอกลับมาเราก็เดินเรื่องทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ลงเครื่องปุ๊บ วันรุ่งขึ้นเริ่มไปติดต่อหน่วยงานราชการต่างๆ ทันที ทุกอย่างดำเนินการอย่างรวดเร็ว

12. ธันวาคม ทุกอย่างผ่านไปเหมือนเวลาติดปีกบินจริงๆ เอกสารต่างๆ ถูกส่งออกไปหมด เริ่มต้นเส้นทางแห่งการเฝ้ารอ เป็นอีกครั้งที่ต้องอยู่ห่างกัน ชีวิตมีทั้ง Long Distance Relationship มีทั้งอยู่ด้วยกันตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง ผ่านมาหมดแล้ว ดังนั้น ก็จะต้องผ่านไปให้ได้อีกเช่นกัน และได้แต่หวังว่า กำหนดการ แผนต่างๆ ในครั้งนี้จะเป็นไปตามที่เราวางไว้ ในใจก็เริ่มกลัวว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า

2023 – สายฝอ เยอรมัน ประเทศแห่งเอกสารและการรอคอย

This too shall pass.ทุกอย่างมีวงจร มีวัฏจักร มีเริ่มต้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งหนีความจริงข้อนี้ไม่พ้น การรอคอยก็มีการสิ้นสุด การพบมีการพราก เมื่อจากก็อาจได้พบกันอีก วนเวียนสลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้ สิ่งที่คิดว่ารู้ แต่ยังมีอะไรให้เรารู้อีกมากมาย ต้องเปิดใจให้กว้างเท่าที่สุด สายฝอ ยังมีอะไรอีกมากมายที่ซ่อนเร้นไว้รอให้เราค้นพบ

มกราคม แฟนไปยื่นเรื่องขอแต่งงาน เราก็เฝ้ารอคำสั่งศาลให้สามารถแต่งงานได้ ได้เรียนรู้ว่า การจะใช้ชีวิตด้วยกัน เป็นเรื่องของเรา การตัดสินใจของเราแต่การจะแต่งงานกันมันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน มันมีกฎหมาย มีเอกสารต่างๆ มีการต้องพิจารณา อนุมัติ ต้องทั้งถูกศีลธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย ถูกใจอย่างเดียวไม่ได้ต้องถูกต้องด้วย

กุมภาพันธ์ เราก็ได้รับเอกสารอนุมัติจากศาล ก็กำหนดวันแต่งงานประมาณต้นเดือนกรกฎาคม แทบจะเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลาตามกำหนด คือต้องแต่งงานภายในหกเดือนนับจากศาลอนุมัติ หลังจากนั้น เราสอบวัดภาษาและยื่นแต่งงานไปประมาณกลางเดือน หลังจากนั้นเราก็ให้ที่บ้านยื่นเรื่องวีซ่าเยี่ยมเยือนไปด้วยเลย เราก็หวังว่ามีนาเราจะได้เดินทาง

มีนาคม วันเกิดเรา ญาติที่ไปยื่นขอวีซ่าเยี่ยมเยือนได้รับการอนุมัติวีซ่า พอสามวันต่อมา แฟนเราได้รับจดหมายจากองตรวจคนเข้าเมืองว่าต้องนำส่งเอกสารเพิ่มเติม แฟนเราก็รีบดำเนินการทันที หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ส่งอีเมลบอกว่าให้รอนัดเท่านั้น เราก็รอ

เมษายน ครบสองเดือนที่ยื่นวีซ่า เราเตรียมสิ่งต่างๆ ของชำร่วย การ์ดงานแต่ง สถานที่แต่งงาน รูปแบบงาน รายชื่อแขกและเราก็เริ่มร้อนใจว่าผ่านไปสองเดือนแล้ว แต่เงียบมาก ตามอ่านในเฟสบุ๊กก็รู้ว่า เขารอกันนานหลายเดือนเหมือนกัน แล้วเราก็ได้อีเมลหาสถานทูต สถานทูตก็บอกให้รอ แต่เราก็ให้แฟนไปตามกับตม.อีกครั้ง นางก็เลยเริ่มโทรหาเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และได้รับอีเมลจากเจ้าหน้าที่คนเดิมว่าเขาไม่ได้รับเอกสาร วันนั้นเป็นวันที่แฟนเราโกรธมาก เราเองก็อยากร้องไห้ เหมือนต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แต่ใจยังชื้นที่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่คนอื่นได้

พฤษภาคม ต้นเดือนแฟนได้รับนัดให้ไปทำเอกสารใบสุดท้ายซึ่งเป็นใบเชิญอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ได้อยู่ในลิสต์เอกสารที่ต้องใช้ยื่นขอวีซ่าเลย ตอนส่งเอกสารเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ขอ เราไปหาแฟนด้วยวีซ่าเยี่ยมเยือนสองครั้ง แฟนไม่เคยขอใบนี้เพราะเราซัพพอร์ตตัวเองตลอด มีครั้งล่าสุดที่ไปนานเก้าสิบวันเจ้าหน้าที่ขอมาแฟนก็เลยไปขอ แต่ครั้งนี้เราก็คิดว่ารีเช็คจากทุกที่แล้วทั้งอำเภอ ศาล สถานทูต ไม่มีใครเอ่ยถึงใบนี้เลย แต่ไม่เป็นไรได้มาแล้ว ซึ่งแฟนไปทำกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกคน ไม่ใช่คนแรกที่ติดต่อมา ซึ่งกองตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า เขาไม่ได้มีหน้าที่ติดต่อสถานทูต ให้เรานำส่งเอกสารทางอีเมลให้สถานทูตเอง ส่งไปสถานทูตก็ตอบมาว่าได้รับแล้ว เราก็คิดว่าคงเรียบร้อยแล้วก็เลยรอไปหนึ่งสัปดาห์ก็เริ่มตามเรื่องเพราะรู้สึกว่าไม่ปกติ เจ้าหน้าที่สถานทูตตอบมาว่าให้รออีก เราก็รู้สึกไม่ปกติเลยโทรไป โชคดีที่ในอีเมลมีเบอร์ตรงแผนกวีซ่าเราเลยโทรแล้วเจอเจ้าหน้าที่ เลยได้คุยแล้วเราก้ได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ได้แต่ตอบว่า เขาต้องรอให้ทางกองตรวจคนเข้าเมืองอนุมัติมาทางระบบ แฟนก็ให้ถามให้ละเอียดว่าระบบอะไร ก็ได้แค่คำตอบมาว่า ก็ระบบระหว่างสถานทูตและกองตรวจคนเข้าเมือง เราก็เลยบอกให้แฟนกลับไปตามล่าหาตัวเจ้าหน้าที่คนแรกที่ติดต่อมา คือรู้สึกเหนื่อยมากทั้งสองคน รู้สึกผิดหวัง โกรธ เสียใจ เราคิดว่า ทุกอย่างเรียบร้อย แต่ก็ไม่เรียบร้อย แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่ติดต่ออะไรกลับมาเลย ถามอะไรไปทางอีเมลก็ตอบแค่ว่าให้รอ เราต้องเป็นฝ่ายตาม ฝ่ายถาม ฝ่ายทวง ซึ่งผ่านไปสามเดือน เคสเราเจ้าหน้าที่ก็น่าจะเริ่มติดตามสถานะให้ก็ไม่ได้ติดตามและไม่เอ่ยปากช่วยเหลืออะไร ตอนแรกเราคิดว่าทุกอย่างจะเร็ว เพราะเรารีบทำทุกอย่างได้รับอนุมัติศาลภายในหนึ่งเดือน แต่สรุปมาติดตรงการขอวีซ่าที่ตอนนี้ผ่านไปสามเดือนแล้ว เราพยายามมองโลกในแง่ดี โชคดีที่แม้จะช้า แต่ก็ยังพอมีเวลาและหวังว่าจะไม่เกินกำหนดวันแต่งงานของเรา ตอนแรกเราอยากไปให้ทันวันเกิดยายที่นู่นตอนสิ้นเดือนพฤษภาคม ก็ทำใจแค่ขอให้ทันงานแต่ง ที่สำคัญใจเราก็ยังห่วงวีซ่าเยี่ยมเยือนที่บ้านเพราะเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ต้องรอให้วีซ่าเราออกก่อนแล้วหลังจากนั้นภายใน 15 วัน เค้าจึงจะสามารถอนุมัติวีซ่าให้บ้านเราได้

สรุปว่าวันรุ่งขึ้นเราได้อีเมลจากสถานทูตว่าวีซ่าอนุมัติ เราร้องไห้เลย ดีใจมาก รอมาหลายเดือน ต้องใช้พลังในการอดทนแล้วก็คอยโทรถามติดตาม อธิบาย ติดต่อ รอจนท้อ จนแทบอยากจะบอกแฟนว่า เออ ไม่ทันก็ไม่ทันนะ พอได้แล้วก็ยังต้องมาเถียงกับนางอีก นางอยากให้ไปด่วนทันทีทันใด เราก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่างเร็วก็ต้อง 3-5 วัน ก็เป็นไปตามนั้น สรุปเราได้เดินทางไปทันวันเกิดของยายตอนสิ้นเดือนพฤษภาคมพอดีเลย ไม่รู้เป็นเพราะเราไปขอหลวงพ่อดำที่วัดลาดสิงห์ สุพรรณบุรีหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ตั้งใจว่า หลังมาเยอรมันแล้วได้กลับไทยเราจะไปไหว้ท่าน

มิถุนายน มีเวลาหนึ่งเดือนในการเตรียมตัว ทั้งเรื่องการแต่งงาน ดอกไม้ อาหาร การจัดวาง การตกแต่งสถานที่ ทุกอย่างเราทำเองหมด เราเตรียมมาเรียบร้อยจากเมืองไทย สมใจอย่างที่เราสองคนต้องการ และที่สำคัญ การเตรียมต้อนรับสมาชิกจากทางบ้านที่จะมาร่วมงานแต่งงานของเรา สิบสองชีวิตสองขวบถึงเจ็ดสิบปี สนุกกันแน่ๆ งานนี้ ปลายเดือนครอบครัวเดือนทางมา เราก็ได้ไปเที่ยวปารีสด้วยกัน แฟนก็ไปเหมือนจะเป็นพรีเวดดิ้งแต่จริงๆ คือการเป็นไกด์ทัวร์ เหนื่อยมากแต่สนุกมาก

กรกฎาคม วันแต่งงานของเรามาถึง อิ่มใจ ปลื้มใจ เราเตรียมเซอร์ไพร์สไว้ให้นาง นางไม่เก็ทกับเราจนเมื่อถึงนาทีที่นางเก็ท นางดีใจนางซาบซึ้งใจกับเรามาก นางสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ เป็นผู้ชายที่ดีมาก แล้วไม่เคยทำให้เราผิดหวังหรือเสียใจ วันแต่งงานเป็นวันที่ร้อนมาก แต่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีมีสะดุดบ้างแต่ก็ถือว่า อบอุ่นประทับใจ ทุกคนมีความสุข ในแต่ละวันก็แฮปปี้ ออกไปเดินเล่น ปลายเดือนได้เดินทางไปร่วมงานแต่งงานพี่สาวนางก็เหมือนได้ไปฮันนีมูนเล็กๆ เราเริ่มหางานเลี้ยงเด็กทำ

สิงหาคม หมดช่วงเวลาแห่งความฝัน กลับสู่ชีวิตจริง เราได้ไปทำงานเลี้ยงเด็กอยู่เกือบเดือน แล้วสุดท้ายก็โดนบอกเลิกจ้าง ก็เศร้าอยู่สองวันแล้วก็หางานใหม่ จากแฟนต้องเรียกสามีแล้ว นางซื้อรถใหม่ แต่นับเป็นรถคันแรกที่นางซื้อเอง แต่เราเลือกสี รถสีแดง นางจะบอกทุกคนว่า เมียเลือกสีนะ ปลายเดือนได้ไปฮันนีมูนของจริงที่สวิสเซอร์แลนด์เก้าวัน โร้ดทริปกับรถสีแดง ทุกอย่างดีมากยกเว้นอากาศ แต่ก้ไม่ได้ทำให้ความสุขในใจเราลดลงเลย กลับมามีคนติดต่อให้ไปเลี้ยงเด็ก แล้วก็จะได้เริ่มต้นเรียนภาษาแล้ว ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง

กันยายน ไปเรียนภาษาเยอรมันทุกวัน แปดโมงถึงบ่ายโมง สี่โมงถึงหกโมงหรือเกือบทุ่ม ไปเลี้ยงสัปดาห์ละสามวัน ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี งานที่เมืองไทยก็เริ่มมีเข้ามาแบบมากขึ้น ชีวิตยุ่งขิงยุ่งข่า แล้วก็ได้เจอพี่คนไทยซึ่งสอนเกี่ยวกับศิลปะบำบัดก็รู้สึกว่าได้เจอสิ่งที่ชอบ ได้แบ่งกับแฟน นางก็ดีใจที่เห็นเรามีความสุข เราก็ดีใจที่เห็นนางมีความสุข ได้ใช้เวลาร่วมกัน ออกไปเดินในวันอากาศดี ได้เจอครอบครัว ได้เจอเพื่อนของสามี ทุกคนต้องนรับเราดีเหมือนเดิม

ตุลาคม เริ่มวางแผนว่าจะกลับไทยในเดือนเมษายน เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบสี่สิบขวบของสามี ตอนแรกอยากไปมัลดีฟส์ แต่นางอยากให้เก็บเงินไว้ก่อน เพราะเราเองก็ยังไม่ได้มีงานทำที่ได้เงินเยอะอะไร ในแต่ละเดือนนางก็จะกันเงินมาไว้ให้ใช้จ่าย สามีดูแลทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่มาถึง นางก็จัดการสิ่งต่างๆ ให้ เปิดบัญชีธนาคาร ติดต่ออิมมิเกรชั่น ติดต่อโรงเรียนสอนภาษา ติดต่อธนาคารเปิดบัญชีและทำบัตรเครดิต ติดต่อโทรศัพท์รายเดือนใช้เนตด้วย ติดต่อทำประกันใช้ร่วมกันกับนาง ติดต่อซื้อตั๋วรถไฟรายเดือนให้ รวมทั้งติดต่อเอกสารในส่วนของเรา ต้องเปลี่ยนนามสกุล ทำพาสปอร์ต ทำบัตรประชาชนใหม่ แปลเอกสาร รับรองเอกสาร โชคดีตอนปลายเดือนเพื่อนมาเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ เราเตรียมเอกสารทุกอย่างครบ สามีก็ขับรถพาไปเจอเพื่อน แล้วก็ถือโอกาสฝากเอกสารเพื่อนไปที่ไทย แล้วก็มอบอำนาจให้คนที่ไทยดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารเปลี่ยนนามสกุลให้

พฤศจิกายน ทุกอย่างยังดำเนินไป ไม่มีอะไรหวือหวา มีแต่เรื่องวีซ่าและเอกสารต่างๆ ที่ยังคงต้องจัดการตลอดเวลา มีเพื่อนสนิทอีกคนเดินทางมาเที่ยวใกล้ๆ บ้าน สามีก็ขับรถพาไปเจอ นอกจากดูแลในส่วนของเอกสารและการจัดการชีวิต สามียังดูแลให้เราได้ใช้ชีวิต ได้รู้จักเมืองต่างๆ ในเยอรมนี พาไปเปิดโลกเปิดหูเปิดตา ไม่ได้ให้เราจับเจ่าอยู่แต่กับบ้าน มีสามีดี มีคู่ครองดีก็เหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

ธันวาคม เทศกาลมาถึงเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ใกล้ถึงเวลาต้องเตรียมตัวสอบวัดระดับภาษาB1ลงสอบเดือนมกราคม ก็เท่ากับว่า หลังเรียนจบตอนต้นเดือนก็มีเวลาเตรียมตัวหนึ่งเดือน แต่เอาเข้าจริง พอต้องเดินทางไปเที่ยวในช่วงเทศกาลก็ทำให้เราลดหย่อนการเอาจริงเอาจังกับการเตรียมตัวสอบ เพราะมัวแต่แฮปปี้มีความสุขกับอาหารและงานรื่นเริง พยายามฝึกพูดภาษาเยอรมันกับสามีทุกวัน ก็หวังว่าจะช่วยให้พร้อมในการสอบ ไม่ใช่แค่สอบผ่าน แต่ต้องสื่อสารได้ เพราะไม่ใช่เงินหรือเวลาเท่านั้นที่สำคัญเพราะการใช้ชีวิตที่ประเทศนี้ภาษาเยอรมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

Photo Featured by Arno Senoner on Unsplash

Leave a Reply